ตั้งการ์ดให้พร้อม! ร่วมฮุกเจาะแผลวงการ ‘มวยไทย’ กับ ‘Hurts Like Hell เจ็บเจียนตาย’ | เดลินิวส์

เรียกได้ว่าพร้อมให้ได้รับชมกันแล้ว กับลิมิเต็ดซีรีส์สุดเจ็บเรื่องใหม่ของ Netflix อย่าง “Hurts Like Hell เจ็บเจียนตาย” และลงจอให้ผู้ชมในกว่า 190 ประเทศทั่วโลกได้ลิ้มรสชาติบาดแผล ความเจ็บปวด และความขมขื่นของเรื่องจริงในวงการมวยไทย ที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้หยิบออกมาบอกเล่าในรูปแบบที่ผสมผสาน ทั้งเรื่องแต่งที่มาจากเหตุการณ์จริง และเรื่องจริงจากปากตัวจริงในวงการมวย

วันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” จะพาทุกคนไปเตรียมความพร้อมก่อนที่เข้ารับชมลิมิเต็ดซีรีส์เรื่อง กับบทสัมภาษณ์ของเหล่านักแสดง พร้อมการเล่าเรื่องสไตล์หมัด 1-2 แบบนี้ ที่รับรองได้ว่าทั้งหนัก ทั้งเข้าเป้า ให้ทุกคนได้เจ็บกันก่อนดูบนจอแน่นอน กับบทสัมภาษณ์ 3 นักแสดงหลัก ณัฏฐ์ กิจจริต, วิทยา ปานศรีงาม และ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ พร้อมทั้งผู้กำกับมากฝีมืออย่าง กิตติชัย วรรณ์ประเสริฐ

สำหรับ “Hurts Like Hell เจ็บเจียนตาย” เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงเบื้องหลังวงการมวยไทย ที่เต็มไปด้วยบาดแผลซึ่งถูกซ่อนเร้น ทั้งการพนันผิดกฎหมาย การติดสินบน และการล้มมวย ลิมิเต็ดซีรีส์เรื่องนี้ จะพาคุณเจาะลึกไปสู่ต้นตอความบิดเบี้ยวของวงการมวยไทย โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องด้วยรูปแบบที่น่าสนใจ ผสานเข้ากับการสัมภาษณ์แบบสารคดี ทำให้การเล่าเรื่องมีเอกลักษณ์ที่น่าติดตาม ปล่อยหมัดฮุกตรึงใจให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงบทบาทของผู้คนในวงการที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทย จนเข้าใจว่า ความเจ็บปวดเจียนตาย ไม่ได้เกิดขึ้นที่ร่างกาย แต่เกิดขึ้นในจิตใจ

นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต รับบท พัด

พัด เป็นเซียนมวยที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ความเก่งกาจของนักมวยแต่ละคน เขามีความฝันที่จะเปิดค่ายมวยเป็นของตนเอง

Q: ช่วยเล่าถึงบทบาทที่ได้รับในเรื่อง Hurts Like Hell เจ็บเจียนตาย ให้ฟังหน่อย

A: รับบทเป็นพัด เป็นเซียนมวยหน้าใหม่ ที่มีความฝันอยากเปิดค่ายมวยของตัวเอง พัดเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน และมีเป้าหมายของตัวเองที่ชัดเจน

Q: มีวิธีเข้าถึงบทบาทที่ได้รับอย่างไร และมีการทำการบ้าน เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

A: ทีมงานพาไปนั่งดูมวยที่สนามมวยลุมพินี มันจะมีที่นั่งแยกเป็นโซนๆ สำหรับเซียนมวย ก็ได้เข้าไปดู ไปเห็นของจริง ไปศึกษาท่าทาง เซียนมวยทุกคนเขาจะมีกระเป๋าใบเล็กๆ แล้วเขาจะมีท่าทางเหมือนกันหมดเลยคือจะเอามือจับกระเป๋าไว้ตลอดเวลา เพราะมันมีเงินมหาศาลอยู่ในนั้น ผมก็ได้ไปเห็นท่าทาง ได้เห็นภาษามือเขาที่ใช้ในการต่อรองจริงๆ ก็ช่วยให้เข้าใจตัวละครมากขึ้นครับ

Q: ปกติสนใจกีฬาหรือแวดวงมวยบ้างไหม พอมารับบทในเรื่องนี้แล้วมุมมองต่อกีฬามวยเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

A: ปกติก็มีดูบ้าง แต่ดูเพราะสนใจตัวบุคคล ไม่ได้สนใจมวยเป็นพิเศษ ผมสนใจคนนี้ แล้วเขาบังเอิญต่อยมวยเฉยๆ ถ้าถามว่ามุมมองต่อวงการมวยเปลี่ยนไปไหมหลังจากเล่นเรื่องนี้ มุมมองต่อวงการมวยไม่ได้เปลี่ยน แต่มันเหมือนกับเป็นการย้ำมากกว่า เป็นการย้ำว่ามันมีสิ่งนี้เกิดขึ้นอยู่ มันยังมีปัญหานี้ซ่อนอยู่ใต้พรม

Q: ฉากที่ยากที่สุดคือฉากไหน

A: ฉากที่ทะเลาะกับพี่เอก ในสนามมวย ด้วยความที่ผู้กำกับอยากให้มันออกมามีความชุลมุน ก็เลยจะไม่มีการกำหนดอะไรมันมากนัก เรื่องนี้มันดีตรงที่เราถ่ายทำตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ในเรื่อง นักแสดงเลยมีเวลาอยู่กับบทตามลำดับเหตุการณ์ ช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้าใจอารมณ์ได้ดีขึ้น สำหรับฉากนี้ มันยากเพราะไม่มีการกำกับขนาดนั้น ผู้กำกับเขาบอกเราแค่ เดี๋ยวเดินเข้าไป ทะเลาะกับพี่เอก เสร็จแล้วเดินออกมา แล้วเขาก็ปล่อยให้เล่นกันเอง พอเล่นกันเองโดยไม่มีการกำกับอะไรเยอะ มันก็เลยสามารถพัฒนาไปจนถึงจุดที่มันอารมณ์มันไปถึงจุดพีคได้โดยธรรมชาติ มันเกิดขึ้นเองตรงนั้นเลย ไม่ได้มีการตั้งใจวางให้เกิด ซึ่งสำหรับผม มันแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจกันของนักแสดงด้วย พี่เล่นเลย อยากให้เป็นยังไง พี่เล่นเลย อะไรแบบนี้ มันเลยเกิดการแสดงที่ดีมากๆ และไปถึงมากๆ ขึ้นมาได้ ถ้าไปดูกันก็คงจะสังเกตเห็นได้ว่าเป็นฉากไหนบ้าง

Q: สิ่งที่ประทับใจที่สุดในการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้

A: สิ่งที่ประทับใจที่สุดในการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้คือการทำงานที่ไม่ได้มีการกำหนดอะไรเยอะ ปล่อยให้นักแสดงมีอิสระในการได้เล่น ได้แสดง แล้วก็ประทับใจนักแสดงร่วมในเรื่องนี้ เพราะอย่างที่บอกไป แต่ละคนเหมือนเป็นตำนาน เป็นไอดอลในการแสดง ผมเหมือนเป็นติ่งที่ได้ทำงานร่วมกับไอดอล กับนักแสดงต้นแบบที่ผมอยากเป็นให้ได้อย่างเขา พอได้มาทำงานด้วยกัน มันเหมือนเป็นการตอกย้ำความคิด ตอกย้ำความประทับใจที่มีกับเขาด้วย ความสบายๆ ความไม่ถือตัว ความเก่ง ความตั้งใจทำงานที่ได้เห็น มันตอกย้ำภาพที่เราเคยเห็นเขาจากภายนอก พอได้มาสัมผัสเองจริงๆ ก็ประทับใจครับ

Q: อะไรคือเสน่ห์หรือความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้

A: เนื้อเรื่องครับ มันเป็นประเด็นที่ยังไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงในลักษณะนี้ ในลักษณะการเล่าแบบกึ่งซีรีส์กึ่งสารคดี 

Q: คิดว่าสิ่งที่คนดูจะได้รับจากซีรีส์เรื่องนี้คืออะไร

A: คนดูน่าจะได้เห็นประเด็นและปัญหาที่มันมีอยู่จริงในวงการมวย แต่ยังไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ปัญหาที่มันยังซ่อนอยู่ใต้พรม เรื่องนี้ก็จะเป็นการจุดประกายความสนใจ เป็นการดึงปัญหาใต้พรมออกมา ให้คนสนใจ ให้คนได้รับรู้มากขึ้น

Q: มีอะไรอยากฝากถึงคนดูไหม

A: อยากฝากให้ช่วยเป็นกำลังใจและให้ความสนใจกับวันนี้วันดี โปรดักชั่นเฮาส์เล็กๆ ที่ผลิตงานน้ำดีออกมาอย่างสม่ำเสมอ เป็นทีมงานที่มีความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์และถ่ายทอดงานดีๆ ออกมา ก็อยากฝากให้ช่วยเป็นกำลังใจให้กับทีมงานด้วยครับ

ปู-วิทยา ปานศรีงาม รับบท วิรัตน์

วิรัตน์ เป็นกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที ด้วยหน้าที่การงานทำให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล

Q: จุดเริ่มต้นในการเข้ามาแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ และรู้สึกอย่างไรที่ได้เล่นซีรีส์เรื่องนี้ ที่จะออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก

A: ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปก่อนว่า พี่ปูอาจจะเป็นเคสที่แปลกเพราะเข้าวงการบันเทิงตอนอายุประมาณ 50 ปี ไปแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ แล้วจึงมาเป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์ไทย การที่ได้เข้ามาแสดง Hurts like Hell เพราะทีมงานสนใจพี่ปูตั้งแต่ตอนได้ชิงรางวัลที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ จากเรื่อง Only God Forgives และแสดงภาพยนตร์เรื่อง Samui Song ที่ออกฉายทาง Netflix ด้วย ทีมงานจึงติดต่อมา เท่าที่ได้คุย พี่ปูเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ทีมงานวางตัวไว้แล้ว หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับซีรีส์ พี่ปูก็ตอบรับ คิดว่าน่าสนใจที่เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวความจริงของวงการมวย คาแรกเตอร์ดูน่าท้าทาย น้องๆ ทีมงานดูตั้งใจ และพี่ปูเองก็อยากสนับสนุนงานของคนรุ่นใหม่ให้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เมื่อตอบรับ ทีมงานก็ดีใจมาก

Q: ฉากไหนที่ชอบมากที่สุด ประทับใจมากที่สุด และยากมากที่สุด

A: จริงๆ ชอบหลายฉาก เพราะทุกฉากบอกเล่าเรื่องราวและต้องแสดงอารมณ์ที่ต่อเนื่องกัน แต่ฉากหลักๆ ที่ชอบ มี 3 ฉาก คือ ฉากเป็นกรรมการห้ามมวย ฉากที่วิรัตน์เอาเงินค่าเทอมไปให้ลูกสาวจากการทำงานที่ไม่ถูกต้องและโดนลูกสาวต่อว่ากลับมา โดยฉากนั้นเป็นสถานการณ์ที่ต่อเนื่องไปถึงเรื่องราวอื่นๆ ในซีรีส์นี้ อีกฉากคือฉากที่ไปเจอพี่เอก โจทก์เก่า

Q: พอมารับบทในเรื่องนี้แล้วมุมมองต่อกีฬามวยเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

A: คิดว่าผมและคุณเอก ธเนศ ได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับวงการมวยอยู่แล้วว่าเป็นวงการที่มีด้านมืดมายาวนานแล้ว แต่สิ่งที่ได้รู้เพิ่มคือสิ่งที่ทีมงานทำการบ้านไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในวงการ

Q: อะไรคือเสน่ห์หรือความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้ ที่ทำให้ทุกคนต้องดู และความประทับใจ

A: ความตั้งใจของทีมงานทุกคน จากการที่พี่ปูแสดงภาพยนตร์มาหลายเรื่อง เห็นได้ว่าทีมงาน Hurts Like Hell มีความตั้งใจ ทุ่มเทมาก เก็บรายละเอียดต่างๆ ให้ซีรีส์ออกมาสมจริงมากที่สุด นักแสดงทุกคนมีความทุ่มเท ทีมงานก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้คุณภาพ

เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ รับบท คม

คม เป็นเซียนมวยรุ่นใหญ่ มีผู้คนนับหน้าถือตาเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาสามารถใช้อำนาจได้ตามใจตนเอง

Q: ช่วยเล่าถึงบทบาทที่ได้รับในซีรีส์เรื่องนี้ให้ฟังหน่อย

A: รับบทเป็นเซียนมวยใหญ่ ที่เป็นที่เกรงใจและมีอิทธิพลในวงการมวยต่อการต่อรองราคาพนันมวย และมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งปรารถนาเป็นเซียนใหญ่ในวงการ ด้วยทางลัดให้ทันใจ ข้ามรุ่นมาท้าทายเซียนใหญ่อย่างเรา ก็เลยทำให้เกิดเรื่องราวของ Hurts Like Hell ขึ้น เมื่อได้ฟังเกี่ยวกับบทบาทนี้ ผมซึ่งไม่เคยรับบทเป็นเซียนมวย ก็รู้สึกสนใจ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวจุดพลิกผันในซีรีส์ ก็รู้สึกว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจเพราะมีหลายมิติ ทั้งความเป็นผู้มีอิทธิพล การมีอิทธิพลไม่ได้ได้มาง่ายๆ กว่าจะได้อิทธิพลที่ทำให้คนเกรงใจได้ มันได้มายังไง อันนี้มันท้าทาย แม้ซีรีส์จะมีแค่ 4 ตอน แต่เบื้องหลังบทบาทการแสดงมันมากกว่าที่ปรากฏอยู่หน้าจอ มีที่มาที่ไปว่าตัวละครนี้มาอย่างไร ทำไมถึงมาเป็นเซียนมวยรุ่นใหญ่ได้ อะไรคือเหตุจูงใจให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และจะส่งผลอะไรในอนาคต ในการทำงาน มีการพูดคุย จินตนาการ ทีมงานและผมเองได้หาข้อมูลกันเยอะ เพื่อวางตัวละครให้มีตัวตนเกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ที่มา โตเป็นหนุ่ม เข้าวงการ เจอปัญหาอุปสรรค ฝ่าฟัน จนกลายมาเป็นผู้มีอิทธิพลได้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง ให้ทั้งหมดนี้ฝังอยู่ในตัวเราซึ่งเป็นคนแสดงถ่ายทอด ผ่านสีหน้า ท่าทาง แววตา นี่คือหน้าที่ของผมในการถ่ายทอดตัวละครนี้

Q: พอจะมีตัวอย่างที่คุณช่วยเขาไปปรับตัวละครนี้หรือไม่ ช่วยแชร์ให้ฟังหน่อย

A: มันเป็น magic moment เป็น happening ในการถ่าย มันไม่ได้เกิดตอนคุยหรือเวิร์กช็อป คือเกิดตอนถ่ายทำเลย เป็นฉากตอนท้ายของ trailer ที่เราชี้หน้าแล้วบอกว่า “มึงเล่นผิดคนแล้ว” อันนั้นไม่มีในบท เกิดขึ้นสดๆ ตอนถ่ายทำเลย แล้วมันทรงพลังมากเลย และทุกคนก็พูดว่าเดือดมาก เป็นไคลแม็กซ์ตรงนั้น และถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดของผม แต่ต้องให้เครดิตทุกคน ทีมงาน จากบทที่เตรียมมา โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ นักแสดงที่แสดงร่วมกัน มันทำให้บรรยากาศมันสมจริงมาก จนกระทั่งความรู้สึกเดือดของผมมันเกิดขึ้นตรงนั้น ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นมา สิ่งดีของซีรีส์เรื่องนี้คือ ทีมงานรุ่นใหม่จัดไว้หลวมๆ มีพื้นที่ให้นักแสดงได้เติมเต็มจากเวลาที่นักแสดงสวมบทนั้นๆ ผมชอบสไตล์นี้ที่เปิดโอกาสให้นักแสดง ซึ่งกลายเป็นตัวละครไปแล้ว ได้ร่วมสร้าง ผู้กำกับ คนเขียนบท โปรดิวเซอร์ มีหน้าที่สร้างเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นตรงนั้น แล้วปล่อยให้ดำเนินไปโดยนักแสดง มันจึงเกิด magic moment ขึ้นมา

Q: ฉากไหนที่ยากที่สุด

A: จริงๆ แล้ว ฉากที่ดุเดือดบนเวที ก็ไม่ได้ยาก เพราะอารมณ์ทุกคนได้ ดังนั้น เลยไม่มีฉากไหนที่ยากที่สุด เพราะทุกคน ทุกฝ่ายเตรียมงานกันเต็มที่แล้ว ทำให้งานที่อาจจะดูยากเป็นงานที่ไม่ยาก

Q: คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากซีรีส์เรื่องนี้

A: ความสนุก แม้จะไม่ได้สนใจวงการมวยก็ตาม เพราะเรื่องราวน่าสนใจ กระชับ นอกจากนี้ ตัวละครก็มีหลากมิติ มีจินตนาการ ความฝัน อยากตามฝันสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มีเรื่องราวคนรุ่นเก่าที่อำนาจ ได้ความรู้จากวงการมวย มีเรื่องราวความรักของครอบครัว การใช้ชีวิตคู่ของหนุ่มสาว มีเรื่องราวความฝัน

Q: มุมมองต่อวงการมวยเปลี่ยนไปไหม หลังจากได้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้

A: มีความเข้าใจในวงการมวยมากขึ้น เข้าใจคนหลากหลายอาชีพมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจเค้า แม้จะมีอะไรไม่ดีไม่งาม แทนที่เราจะไปต่อว่าเค้า ก็จะมีความเอื้ออาทรและพยายามเข้าใจเค้ามากขึ้น ให้กำลังใจ ช่วยสนับสนุน ไม่ไปติเตียน เพราะจริงๆ แล้วสิ่งไม่ดีมีทุกวงการ และเมื่อเราช่วยสนับสนุน ก็อาจทำให้คนเหล่านั้น ทำสิ่งไม่ดีน้อยลง

กิตติชัย วรรณ์ประเสริฐ (ผู้กำกับ)

Q: ที่มาของซีรีส์เรื่อง Hurts Like Hell-เจ็บเจียนตาย

A: เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากคุณนิ้ง ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและเป็นโปรดิวเซอร์ของวันนี้วันดี สตูดิโอ อยากลงทุนทำซีรีส์เกี่ยวกับมวยไทยครับ เพราะที่บ้านของคุณนิ้งเคยทำค่ายมวยมาก่อน ทำให้คุณนิ้งคลุกคลีอยู่ในวงการมวยไทยมาระดับนึง ซึ่งถึงแม้ว่ามวยไทยเป็นกีฬาที่ทุกคนรู้จักดีทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกมุมนึงที่ค่อนข้างจะสีเทา และคนทั่วไปอาจจะยังไม่ทราบว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับวงการมวยไทย ทำไมวงการมวยไทยถึงตกต่ำลง เราจึงนำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดในเชิงภาพยนตร์โดยใช้วิธีเล่าแบบสารคดีครับ

Q: ซีรีส์เรื่องนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ คุณจัดว่าซีรีส์เรื่องนี้อยู่ในประเภทอะไร

A: เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องโดยใช้เทคนิคสารคดีครับ เราใช้วิธีนี้เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับเนื้อเรื่อง และเราอยากเล่าให้เห็นชนชั้นของวงการมวย ว่าแต่ละชนชั้นมีใครบ้าง แต่ละคนเขามีบทบาทหน้าที่อะไรในวงการมวย เขาขับเคลื่อนวงการมวยอย่างไรและสิ่งที่เขาทำลงไปนั้น มันส่งผลกระทบกับคนรอบข้างอย่างไร ถ้าผู้ชมสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเราพยายามที่จะเปรียบเทียบวงการมวยไทยเป็นวงจร เกิด รุ่งเรือง และดับไป ซึ่งก็เหมือนกับวงการมวยไทยตอนนี้ครับ

Q: ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องเชิงสารคดี

A: ซีรีส์เรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ซึ่งเรื่องจริงบางเรื่องเราไม่สามารถเล่าได้ตรงๆ ด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดอะไรหลายๆ อย่าง แต่เราก็ไม่อยากจะเล่าเรื่องที่ดัดแปลงจนขาดความสมจริง นั่นทำให้เราเลือกดึงวิธีการเล่าเรื่องเชิงสารคดีเข้ามาช่วยให้เรื่องราวมีความสมจริงมากที่สุด และการเล่าเชิงสารคดีก็เป็นการทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สื่อสารกับคนดูได้ชัดเจนและมีเรื่องราวที่แข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งเรายังไม่ค่อยเห็นซีรีส์เรื่องไหนใช้วิธีเล่าเรื่องแบบนี้ครับ

Q: ทีมงานใช้เวลาทำการบ้านและถ่ายทำนานเท่าไหร่

A: ประมาณเกือบหนึ่งปีก่อนที่จะทำบทครับ เรารีเสิร์ชข้อมูลจากบุคคลในวงการมวยที่เชี่ยวชาญและรู้ลึกในแต่ละเรื่องจริงๆ ซึ่งคนที่มาให้ข้อมูลเราก็มีทั้งคนที่ยินดีเปิดเผยว่าเขาเป็นใคร และคนที่ขอให้ข้อมูลแบบไม่เปิดเผยชื่อ การที่พวกเขาให้ข้อมูลเพราะต้องการที่จะพัฒนาวงการมวยไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ผ่านการเล่าสิ่งที่เขาประสบพบเจอมาว่าตอนนี้วงมวยจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากนั้นก็ใช้เวลาถ่ายทำและโพสโปรดักชั่นรวมๆ แล้วประมาณ 3 ปีครับ ที่ล่าช้ามาจากสถานการณ์ COVID-19 ด้วยครับ

Q: อะไรคืออุปสรรคของการทำซีรีส์เรื่องนี้

A: ความเป็นมือใหม่ของทีมงานครับ ด้วยความที่เรายังไม่รู้วิธีการทำภาพยนตร์ซีรีส์เท่าไหร่ ก่อนจะเริ่มโปรเจคท์เราเลยต้องทำการบ้านเยอะ ทั้งวิธีการทำบท ทำโปรดักชั่น พอเป็นซีรีส์เรื่องแรกของค่ายเราก็อยากทำให้ออกมาดีที่สุด เราเลยใช้เวลาเตรียมตัวและพัฒนาสิ่งต่างๆ ก่อนถ่ายทำค่อนข้างนาน ต้องวางแผนให้ดีที่สุด เพื่อให้ซีรีส์มีคุณภาพดีภายใต้งบประมาณที่เหมาะสม อีกเรื่องคือก่อนที่จะติดต่อนักแสดง ทีมงานกังวลว่า นักแสดงหลายๆ ท่านจะไว้วางใจพวกเราหรือไม่ แต่พอเราได้พูดคุยกับทุกท่าน พวกเขาก็ให้เกียรติมาเล่นและช่วยเราเต็มที่ ต้องขอบคุณนักแสดงทุกคนที่ให้ความไว้วางใจกับโปรเจคท์นี้ ทั้งที่เราเป็นมือใหม่ไม่ได้มีผลงานซีรีส์มาก่อนครับ

Q: คิดว่าตัวละครไหนน่าเห็นใจที่สุดในเรื่อง

A: วิเชียร ครับ เพราะเขาเป็นเด็กที่ตั้งใจอยากทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่สุดท้ายสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้างทำให้เขาต้องเจอกับเรื่องราวที่หนักเกินไปสำหรับเด็กคนนึงครับ

Q: คิดว่าตัวละครไหนที่เป็นโจทย์ยากในการสื่อสารให้คนดูเข้าใจ

A: พัด กับ คม ที่เป็นเซียนมวยครับ เพราะพวกเขาจะต้องเล่นพนันมวยให้เหมือนเซียนมวย ซึ่งเซียนมวยจริงๆ จะมีท่าทางและสัญลักษณ์ในการเล่นพนันเฉพาะตัว และเล่นพนันกันเร็วมากๆ คนนอกที่เห็นครั้งแรกจะไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาทำอะไรกัน ตอนที่เราทำรีเสิร์ชและพัฒนาบท เราก็ต้องเขียนบทเพื่อให้คนดูตามให้ทัน ด้วยไดอะล็อก ด้วยสถานการณ์ที่เราสร้างมา ต้องทำให้คนดูเข้าใจสถานการณ์ให้ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งเป็นงานที่ยากพอสมควรครับ

Q: เรื่องอะไรในวงการมวยที่ประทับใจ และอยากให้ผู้ชมได้เห็น

A: ตอนที่เราไปรีเสิร์ชกับคนในวงการมวย แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนดุ ดูโผงผาง แต่พอได้คุยแล้วลึกๆเรากลับพบว่าพี่ๆเขาช่วยเหลือเราเต็มที่มากๆ เค้าช่วยแบบไม่หวังผล เขาไม่ต้องการสิ่งตอบแทนครับ เขาแค่อยากให้เราเป็นกระบอกเสียงให้ว่า ตอนนี้วงการมวยไทยค่อนข้างแย่ จึงอยากให้คนนอกได้เห็น และเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ อย่างนักมวยที่เราได้ร่วมงานก็ปรับคิวชกของเขาเองเพื่อให้ได้มาแสดงซีรีส์เรื่องนี้ บางคนไม่เรียกร้องค่าตัวด้วยซ้ำ เขาเพียงอยากให้ซีรีส์เรื่องนี้ออกมาดีที่สุดครับ ซึ่งผู้ชมจะเห็นความตั้งใจเหล่านี้ผ่านภาพยนตร์ซีรีส์ชุดนี้ครับ

Q: คิดว่าเสน่ห์ของ Hurts Like Hell-เจ็บเจียนตาย คืออะไร

A: การเล่าเรื่องเชิงสารคดีครับ ทำให้เราเหมือนกำลังนั่งดูเรื่องจริงอยู่ ทั้งๆ ที่เรื่องราวที่เรานำเสนอมีการดัดแปลงจากเรื่องจริงบ้างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารกับคนดูครับ เลยคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ที่คนดูจะรู้สึกว่าน่าติดตาม และต้องคิดตามระหว่างดูครับ

Q: อยากให้คนดูได้ข้อคิดอะไรกลับไป

A: ผมอยากให้คนดูลองกลับมาทบทวนตัวเองครับ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องมวยไทยก็ได้ครับ แค่อยากให้ลองคิดว่าทุกการกระทำของเราไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันส่งผลกับคนรอบข้างเราแน่นอน ก็เลยอยากให้คนดูลองตั้งคำถาม ลองคิดทบทวนกับตัวเองว่า สิ่งที่เราทำ ณ ปัจจุบันนี้ เราทำไปเพื่ออะไร และการใช้ชีวิตทุกวันนี้ เราทำมันดีพอแล้วหรือยังครับ..