“สุดาพร สีสอนดี” กำปั้นค่าตัว 500 บาท สู่เจ้าของเหรียญโอลิมปิก – ผู้จัดการออนไลน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สุดาพร สีสอนดี ทะลุรอบรองโอลิมปิกเกมส์ 2020

ในที่สุดทัพนักกีฬาไทยก็ไม่เหงาอีกต่อไป เมื่อมีความหวังเหรียญทองเพิ่มเข้ามาจาก สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงทีมชาติไทย รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 60 กก. หลังโชว์ฟอร์มปราบ แคโรไลน์ ดูบัวส์ แชมป์ยูธโอลิมปิก จากสหราชอาณาจักร ในรอบ 8 คนสุดท้าย

ยกแรก ต่างฝ่ายต่างระแวดระวัง แต่ สุดาพร ก็หาจังหวะส่งหมัดเข้าเป้าเก็บคะแนนได้ดี จนชนะไปก่อนยกแรก 3-2 เสียง ยกสอง ดูบัวส์ แก้เกมหาจังหวะสวนหมัดใส่นักชกไทยได้ดีจนกรรมการให้นักชกจากจีบีชนะยกนี้ 3-2 เสียง สุดท้ายยกตัดสิน ดูบัวส์ เดินลุยเหวี่ยงหมัดเพื่อตัดสินแต่ “เจ้าแต้ว” รอหาจังหวะแล้วสวนหมัดใส่แบบเยือกเย็น สุดท้ายกรรมการตัดสินให้นักชกไทย ชนะ 3-2 เสียง การันตีเหรียญทองแดงในศึกโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564

สุดาพร สีสอนดี เกิดและเติบโตอยู่ในค่ายมวย เพราะครอบครัวของเธอเปิดค่ายมวยไทย “สุดยอดการช่าง” ฝึกสอนเยาวชนในจังหวัดอุดรธานี ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้เล่นซุกซนผ่านการชกกระสอบทรายมาตั้งแต่เด็ก มีเพื่อนเล่นเป็นเหล่านักมวยผู้ชาย จนกระทั่ง เจ้าแต้ว อายุได้ 11 ปี มีมวยเด็กหญิงเดินทางมาชกใกล้บ้าน แต่ไม่สามารถหาคู่ชกได้ คุณพ่อจึกชักชวนให้เธอไปลองขึ้นไปหาประสบการณ์ แต่เธอไม่ได้ไปในฐานะนักสู้บนสังเวียน แต่ไปเพราะอยากช่วยครอบครัวหาเงิน ซึ่งในขณะนั้นเธอได้ค่าตัวไฟต์ละ 500 บาทเท่านั้น

แม้จะเป็นลูกสาวค่ายมวย แต่การขึ้นเวทีไม่ได้ง่าย แม้จะชกชนะ แต่ความเจ็บปวดในแต่ละครั้งก็ทำให้เธอถึงขั้นถอดใจอยากเลิกชก ทว่าทางบ้านยังคงประสบปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้เธอตัดสินใจเบนเข็มมาต่อยมวยสากลสมัครเล่นแทน เพื่อสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนกีฬาจังหวัดขอนแก่น

เวลาผ่านไปไม่นาน สุดาพร ก็มีชื่อติดทีมชาติไทยมวยสากลสมัครเล่นในวัย 16 ปี แต่การมีรุ่นพี่มากฝีมืออย่าง ทัศมาลี ทองจันทร์ และเปี่ยมวิไล เล่าเปี่ยม เด็กใหม่อย่างเธอจึงทำได้เพียงแต่ซ้อมเท่านั้น ตลอดระยะ 2 ปีในรั้วทีมชาติไทย เจ้าตัวแทบจะหารายการแข่งไม่ได้เลย เพราะเป็นตัวสำรองโดยตลอด แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่ท้อ เพราะการชกมวยคือความหวังที่จะหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว

ในที่สุดความพยายามของเธอก็เห็นผล เมื่อมีชื่อติดไปแข่งซีเกมส์ครั้งที่ 26 ที่ประเทศ อินโดนีเซีย ในปี 2011 แล้วดาวรุ่งสาววัย 18 ปี ก็ไม่ทำให้ผิดหวังคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาครองได้ทันที และกลายเป็นชื่อนักมวยหญิงระดับแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงตอนนี้เธอแข่งซีเกมส์ไปแล้ว 3 สมัย คว้า 2 เหรียญทอง กับ 1 เหรียญเงิน

จากนั้นเส้นกราฟชีวิตของเธอพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อ ฮวน ฟอนตาเนียล ยอดโค้ชชื่อดังชาวคิวบา ได้กลับมาปั้นวงการมวยหญิงไทย ทำให้ สุดาพร ยกระดับความสำเร็จด้วยการคว้าเหรียญเงิน จากมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ จากรุ่นไลท์เวท หรือ 60 กิโลกรัม ในปี 2018 โดยไปพลาดท่าให้กับ โอ ยอน จี นักมวยสาวเกาหลีใต้ ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของทัพเสื้อกล้ามไทยปีนั้น ก่อนจะคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันชิงแชมป์โลก ในปีเดียวกัน ด้วยการล้มเต็ง 1 นักมวยสาวจากประเทศฟินแลนด์ เจ้าของเหรียญทองแดงที่ ริโอ เกมส์ 2016 อย่าง มิร่า พ็อตโคเน่น ในรอบ 8 คนสุดท้าย ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศจะล้างแค้น โอ ยอน จี ได้ ก่อนจะเข้าไปพ่ายให้กับ เคลลี่ แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ ในรอบชิงชนะเลิศ กระทั่งในการแข่งขันคัดเลือกโอลิมปิกเกมส์ โซนเอเชียและโอเชียเนีย ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน เจ้าแต้วก็เอาชนะ เรย์โคน่า โคดิโรว่า คู่แข่งจากอุซเบกิสถาน คว้าตั๋วลุยโอลิมปิก 2020 ในที่สุด

ซึ่งขณะนี้เธอเดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศในศึกโตเกียวเกมส์ โดยจะทำการแข่งขันวันที่ 5 สิงหาคมนี้ เวลา 12.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) พบกับคู่ปรับเก่า เคลลี่ แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ ที่เคยแพ้มาในการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2018 ทว่าสุดาพรในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว เพราะเธอผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนักวันละ 5 ชั่วโมง จนมาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าเธอคือมวยจังหวะ การผ่านรองแชมป์รายการใหญ่มาแล้ว 2 หน เหมือนการรอโอกาสให้เธอได้สวนหมัดซ้ายที่ถนัดแม่น ๆ ใส่คู่แข่งตรงหน้า หากได้โอกาสมาแล้ว เธอจะต้องตามหาความสำเร็จที่รอมาทั้งชีวิตได้อย่างแน่นอน

การันตีเหรียญทองแดงให้กับทีมชาติไทย

เตรียมเจอคู่ปรับเก่า เคลลี่ แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์

ได้ค่าตัวชกครั้งแรกเพียง 500 บาท