“แต้ว”สุดาพร ความหวังสุดท้ายสร้างประวัติศาสตร์โอลิมปิก – คมชัดลึก

การทำผลงานในรอบ 8  คน  ของ “แต้ว”  สุดาพร สีสอนดี   ด้วยการเอาชนะ  แคโรไลน์ ดูบัวส์   นักมวยจากสหราชอาณาจักร ในการแข่งขันชกมวยสากล  พิกัด 60  กิโลกรัม  ไลท์เวท   ส่งให้กำปั้นหญิงทีมชาติไทย วัย  30  ปี การันตีการมีเหรียญรางวัลขั้นต่ำคือ เหรียญทองแดง

โอลิมปิก 2020

ตุนอยูในมือเป็นที่แน่นอน  

 

ภารกิจต่อไปของ” แต้ว”สุดาพร  สีสอนดี   คือการพบกับ  เคลลี แอนน์ แฮร์ริงตัน   นักชกจากไอร์แลนด์  ในรอบรองชนะเลิศ  หรือ  รอบ 4 คนสุดท้าย  เพื่อกรุยทางไปสู่เป้าหมายที่สูงขึ้น อันเป็นเป้าหมายของทุกคน   เช่นเดียว เคลลี แอนน์ แฮร์ริงตัน    ที่ต้องการจะเอาชนะกำปั้นมวยสากลทีมชาติไทย ในการพบกันวันพฤหัสที่ 5   สิงหาคม 

การทำผลงานผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศมวยสากล ในโอลิมปิกเกมส์  “ โตเกียว 2020”  ของ  “ แต้ว”  สุดาพร  สีสอนดี   มีความหมายอย่างยิ่ง ทั้งต่อตัวเธอเอง  จนไปถึงสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย  ในนามของต้นสังกัด     ความหมายต่อ “แต้ว”  เพราะนี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างชื่อให้กับนักกีฬามวยสากลทีมชาติไทย  ที่จะสร้างผลงานเพื่อเป็นประวัติศาสตร์ให้กับทัพนักกีฬาทีมชาติไทย

 เช่นเดียวกับที่  “ เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ   ทำสำเร็จกับเหรียญทอง เหรียญแรกในโอลิมปิก 2020 จากกีฬาเทควันโด   ย้อนไปในการแข่งขันโอลิมปิก 2016  ครั้งนั้น มวยสากลทีมชาติไทย  ได้โควต้านักกีฬา ที่เข้าสู่รอบสุดท้ายโอลิมปิก 2016 ที่บราซิล  รวม  5 คน  ประกอบด้วย   ฉัตรชัย  บุตรดี แบนตั้มเวท ,    อำนาจ รื่นเริง ไลท์เวท  , วุฒิชัย มาสุข ไลท์เวลเตอร์เวท ,  สายลม อาดี   เวลเตอร์ เวท  และ   เปี่ยมวิไล เล่าเปี่ยม  ฟลายเวท  


ผลงานของกำปั้นทีมชาติไทยครั้งนั้น  คือมาไกลสุดในรอบก่อนรองชนะเลิศ   คือในรายของ สายลม อาดี  และ เปี่ยมวิไล เล่าเปี่ยม และบทสรุปเมื่อจบทัวร์นาเมนต์ที่บราซิล  คือไม่มีเหรียญกลับมาในชนิดกีฬามวยสากล   เมื่อย้อนกลับไปในปี 2012 โอลิมปิก ที่อังกฤษ  หรือ ลอนดอนเกมส์ มวยสากลทีมชาติไทย  ครั้งนั้น  ได้มา 1 เหรียญเงิน  จาก แก้ว  พงษ์ประยูร   ในพิกัดรุ่นไลท์ฟลายเวต   จากจำนวนโควต้านักกีฬามวยสากลที่เข้าร่วม3 คน 


การพลาดทำผลงานในโอลิมปิก 2016 จึงไม่ต่างไปจากบาดแผล ที่มีต่อสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเป็นเบอร์ 1 ในวงการกีฬาของประเทศไทย  โดยเฉพาะกับทัวร์นาเมนต์โอลิมปิก  จากผลงานที่สร้างมายาวนาน ตลอด 40 ปี   ในการนำเหรียญรางวัล กลับมาประเทศไทย

ดังนั้นการทำผลงานตุนเหรียญทองแดง  ของ “แต้ว” สุดาพร  สีสอนดี  ครั้งนี้  จึงไม่ต่างไปจากการกู้หน้า จากความขมขื่นของทัพมวยสากลให้กลับคืนมา  กลายเป็นรอยยิ้ม หรือความหวัง   เพราะการพลาดท่าจบเส้นทางของ ฉัตร์ชัยเดชา  บุตรดี    พิกัด 57    กิโลกรัม  ที่ รอบ 8 คน ,  ใบสน มณีก้อน พิกัด 69  กิโลกรัมรอบ  16 คน  , จุฑามาศ จิตรพงษ์  พิกัด 51  กิโลกรัม  รอบ  8 คน  คือการดับฝัน สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย  ต่อการคว้าเหรียญ


จนมาถึง”แต้ว”  สุดาพร  มวยสากลหญิง  ในพิกัด 60  กิโลกรัม   ที่ปลุกความหวังให้กลับมาคืนมา เมื่อทำสำเร็จผ่านเข้าสู่ รอบ 4 คน   หรือ รอบรองชนะเลิศ  รอที่จะพบกับนักชกไอร์แลนด์  เพื่อไปให้ถึงเหรียญทอง   การทำผลงานชนะคะแนนแบบ เป็นเอกฉันท์ 5-0  เสียง ตั้งแต่รอบ 32  คน จนมาถึงรอบ 16 คน  และรอบ 8 คน ที่ชนะ 3-2เสียง  ด้านหนึ่งคือการสร้างความมั่นใจให้กับ “แต้ว “ต่อการทำผลงาน ที่พุ่งแบบกราฟ 


 แต่การชนะแบบ ไม่ขาด ในรอบ  8 คน ก็ถือเป็นการบ้าน ที่กำปั้นหญิงทีมชาติไทย  และทีมงาน ต้องเร่งทำและแก้ไข ในแบบแข่งกับเวลา  เพื่อโอกาสที่จะไปจบผลงาน ด้วยการทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เพื่อเหรียญรางวัลที่สูงขึ้น   อันหมายถึงการสร้างประวัติศาสตร์อีกขั้นให้ทัพมวยสากลทีมชาติไทย  ในโอลิมปิก  2020