โอลิมปิก “โตเกียว 2020 “เปิดฉาก ศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม และจะมาสิ้นสุด ในวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม โอลิมปิกที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ ไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน รวม 41 คน ใน 14 ชนิดกีฬา 16 รายการแข่งขัน ได้แก่ กรีฑา, กอล์ฟ, ว่ายน้ำ, แบดมินตัน, เรือใบ, วินด์เซิร์ฟ, ยิงปืน, ยิงเป้าบิน, มวยสากล, เรือกรรเชียง, เรือแคนู, ยูโด, ขี่ม้า, เทเบิลเทนนิส, เทควันโด และ จักรยาน
โดยผลงานเหรียญรางวัลครั้งนี้ 1 เหรียญทอง ได้มาจาก เทควันโดหญิง “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ และ 1 เหรียญทองแดง จากมวยสากลหญิง “แต้ว” สุดาพร สีสอนดี ซึ่ง เป็น 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน ที่ต้องบันทึกไว้เป็น ประวัติศาสตร์ เพราะคือ1 เหรียญทองแรก ที่ทำได้จาก นักกีฬาเทควันโดหญิง และ 1 เหรียญทองแดง ที่ได้มาเป็นครั้งแรกจากมวยสากลหญิง
ก่อนการแข่งขันโตเกียว 2020 เป็นที่คาดการณ์ว่า ผลงานของนักกีฬาไทย ในทัวร์นาเมนต์ โอลิมปิก ที่ญี่ปุ่น มีลุ้นที่จะคว้าเหรียญ ทั้งจาก เทควันโด , มวยสากล , แบดมินตัน , กอล์ฟ และยิงเป้าบิน แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ต่อการคาดหวังจำนวนเหรียญที่ทัพนักกีฬาไทย น่าจะทำได้ 1 ถึง 3 เหรียญทอง แต่การได้มาอย่างน้อย 1 เหรียญทอง 1 เหรียญทองแดง ก็คือ การทำได้ตามเป้าต่อการสร้างผลงานของนักกีฬาทีมชาติไทย ในชนิดกีฬาที่เป็นความหวัง
โอลิมปิกครั้งนี้ แม้จำนวนเหรียญที่ได้มาจะลดลงเมื่อเทียบกับ โอลิมปิก 2016 ที่บราซิล ครั้งนั้น ไทย ทำได้ 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทอง จากกีฬายกน้ำหนักที่เป็นพระเอก ได้มา 4 เหรียญ และ เทควันโด ที่ได้มา 2 เหรียญ คือ เงิน 1 ทองแดง 1
แต่โอลิมปิกครั้งนี้ ทัพนักกีฬาทีมชาติไทย ก็ได้พิสูจน์ตัวเอง ถึงความมีหัวใจนักสู้ ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างดีที่สุด เพื่อการทำหน้าที่ของตัวเอง ท่ามกลางสภาพที่วงการกีฬาทั่วโลก ชะงักงันเพราะ “โควิด 19″ ดังนั้น 2 เหรียญ ที่ได้มาของไทย ในครั้งนี้ คือ คุณค่าแห่งความภูมิใจ ที่ต้องชื่นชมภายใต้ชื่อ”ทีมชาติไทย” เป็นความภาคภูมิใจ ที่นำมาซึ่งความประทับใจให้กับทุกคน ดังที่เกิดความรู้สึกอยู่ในขณะนี้