คอลัมน์การเมือง – Soft Power คือ เครื่องพิมพ์ธนบัตร

กรณีข้าวเหนียวมะม่วง ทำให้สังคมไทยกลับมากล่าวถึงความสำคัญของ Soft Power อีกครั้ง

ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ Soft Power สามารถเป็นเครื่องพิมพ์ธนบัตรสำหรับประเทศไทยได้ หากมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ


1. ควรแยกแยะระหว่างการไปนำเสนอข้าวเหนียวมะม่วงบนเวทีแร็พ กับการบิดเบือนข้อมูลให้คนเข้าใจประเทศไทยผิดๆ ซึ่งบ่อยครั้งที่ “มิลลิ” โพสต์ข้อมูลผิดเพี้ยนผ่านสื่อโซเชียล บางกรณีผิดกฎหมาย จนเจ้าตัวรับสารภาพผิดก็มีนั่นก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า ตามกฎหมาย

การกินโชว์บนเวที เป็นประโยชน์ต่อการทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักได้มองเห็น มันก็เหมือนการกินให้คนจำนวนมากได้ผ่านสายตา เหมือนติดป้ายบิลบอร์ด แต่เขาจะอยากกินตามหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเสน่ห์และความน่าสนใจในการนำเสนอ

2. ที่น่าอนาถ อย่าถึงขนาดตามไปงับข่าวปลอม เอาภาพฝรั่งต่อแถวที่เป็นภาพเก่า (แล้วไม่เกี่ยวอะไรกับข้าวเหนียวมะม่วง) นำมาเสนอข่าวโดยอ้างว่าคนอยากกินข้าวเหนียวมะม่วงทันทีหลังการแสดงของมิลลิ มันเป็นการอวยกันแบบหลับหูหลับตาคลุ้มคลั่ง ซึ่งปรากฏว่า สื่อสามนิ้ว รายการทีวีช่องที่ชอบด่ารัฐบาล เอนเอียงเข้าข้างม็อบสามนิ้วนั่นเอง ที่งับไปนำเสนอแบบน่าอับอาย

3. เรื่อง Soft Power รัฐบาลปัจจุบันดำเนินการไปแล้วหลายอย่างทั้งเรื่องการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ การส่งเสริมการท่องเที่ยว อาหาร ศิลปะวัฒนธรรม ฯลฯ แต่จะต้องทำจริงจัง ต่อเนื่อง และมียุทธศาสตร์ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีพลังจับต้องได้

แต่ถ้าพูดถึงพรรคการเมือง เท่าที่ตรวจสอบแล้ว เห็นว่า มีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีการนำเสนอแนวทางพัฒนาจัดการ Soft Power อย่างเป็นระบบที่สุด และมียุทธศาสตร์ที่สุด นั่นคือ “พรรคกล้า”

ในเว็บไซต์พรรคกล้า ได้สรุป “ยุทธศาสตร์ Soft Power” เอาไว้อย่างน่าสนใจ

ระบุว่า นี่คือโอกาสสำหรับประเทศไทยที่ไม่ควรมองข้าม

“…เรามีศิลปะวัฒนธรรมที่ไม่แพ้ใครในโลก มีอาหารไทยที่อร่อยร่ำลือไปทั่วโลกมีมวยไทยที่เป็นกีฬาที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ มีธรรมชาติที่สวยงามดึงดูดคนจากทั่วโลก และที่สำคัญเรามีคนเก่งที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความครีเอทีฟมากมายที่เป็นกำลังหลักในทุกด้านของภาคส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร เพลง ภาพยนตร์ สื่อโฆษณา แอนิเมชั่น เกม หรือแม้กระทั่ง แฟชั่นเครื่องแต่งกาย ที่เป็นวัฒนธรรมร่วมสมัย

สิ่งที่เหล่านี้แหละที่สะท้อนให้เห็นว่า “เรามีของ”

เป้าหมายยุทธศาสตร์ Soft Power ของพรรคกล้า คือการนำทรัพยากรซึ่งมี DNA ของความเป็นไทย ที่มีคุณค่า Cultural Value เหล่านี้ ไปสู่การนำประเทศไทยเข้าสู่ “ระบบเศรษฐกิจใหม่” เพื่อสร้างมูลค่า Economic Value ผ่านการส่งออกวัฒนธรรมและการเผยแพร่ความคิดสร้างสรรค์ผ่าน 3 หลักคิดดังนี้

เครือข่ายสร้างสรรค์-พรรคกล้าจะผลักดัน สร้างโอกาสความร่วมมือของกลุ่มต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ คนคิดนักเขียน สื่อมวลชน นักดนตรี นักออกแบบ ผู้นำในสาขาต่างๆ แม้กระทั่งพ่อครัวแม่ครัว เพื่อสร้างเครือข่ายดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์

ส่งเสริมคนสร้างสรรค์ – พรรคกล้าเล็งเห็นว่า ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือคนสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา คนในวงการบันเทิง ครีเอทีฟ ศิลปิน นักร้อง นักแสดง วงการอาหาร ศิลปะวัฒนธรรม ด้านบริการ บุคคลเหล่านี้คือทรัพยากรที่มีความสำคัญที่ต้องได้รับโอกาสและการสนับสนุนเพื่อให้ประเทศไทยก้าวขึ้นไปสู่ผู้นำทางด้าน Soft Power อย่างเต็มตัว

เจ้าภาพผลักดัน – พรรคกล้าจะผลักดันองค์กรหลักต่างๆ ที่เป็นเกี่ยวข้องในการสนับสนุน สร้างแบรนด์ ผลักด้นทรัพยากร Soft Power ของไทย รวมถึงการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ในการปลดล็อกอุปสรรคทางด้านต่างๆ และเปิดกว้าง

ในการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ โดยไม่ตีกรอบอยู่กับความคิดแบบเดิม

Soft-Power เป็นอาวุธ

1. อาหารไทย Thai Food

“อาหารไทย อาหารโลก” เรื่องของอาหารคือเรื่องใหญ่ ทั้งผัดไท ต้มยำกุ้ง แกงมัสมั่น และส้มตำ เป็นอาหารยอดนิยมที่มีชื่อเสียงระดับโลก ยุทธศาสตร์ Soft Power ของพรรคกล้า มองเห็นโอกาสความเป็นไปได้ของครัวไทย อาหารไทย และเครื่องปรุงไทย รวมถึงวัตถุดิบไทยเป็นอย่างดี ดังนั้นเราจึงต้องมียุทธศาสตร์ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งด้านการผลิต การจำหน่าย และการส่งออก ที่จะต้องมีนโยบายส่งเสริมให้ได้มาตรฐานและเข้าถึงได้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธศาสตร์ที่จะเชื่อมระหว่างภาคการเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นกลไกหลักที่จะทำให้อุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าสูงขึ้น โดยต้องเน้นความสด ความปลอดภัย และคุณภาพที่ดี ทั้งกลุ่มผู้ขายปัจจัยการผลิต กลุ่มผู้ขนส่งผลผลิต และผู้รับซื้อจนถึงผู้บริโภค จากนั้นก็เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าหากัน เราก็พร้อมที่จะส่งออกมาตรฐานและคุณภาพสู่ภายนอก

2. อุตสาหกรรมบันเทิง Creative Entertainment

เราต้องทำยุทธศาสตร์ Soft Power ส่งออกวัฒนธรรมบันเทิง ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยตอนนี้ คือ Soft Power ถือเป็น 1 ใน อิทธิพลสำคัญกับค่านิยมของทั้งไทยและต่างประเทศ และมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น ดังนั้นเราต้องมียุทธศาสตร์ด้านนี้ให้ชัดเจน ต้องใช้กลยุทธ์ สานต่อความสำเร็จ เพื่อทำให้ Creative Entertainment ในด้านต่างๆ ของไทยไม่ว่าจะเป็น ละคร หนัง สื่อโฆษณา Thai Pop เพลง คอนเทนต์ สร้างสรรค์อื่นๆ มีคุณภาพและได้รับแผนพัฒนาที่ชัดเจน ตลอดจนมีแผนนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ไทยกลายมาเป็นผู้ผลิตวัฒนธรรมร่วมสมัยด้านบันเทิง และส่งออกผลงานได้ทั่วโลก ตลอดสร้างมูลค่าไปสู่เศรษฐกิจในทุกภาคส่วน

3. กีฬา Sports

ร่วมสร้าง Platform “กีฬา” ขึ้นเพื่อส่งเสริมสนับสนุนผลักดันนักกีฬาไทยให้มีโอกาสก้าวสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ และยกระดับคุณภาพการฝึกซ้อมรูปแบบใหม่ๆ ที่เข้มข้นเทียบเท่าระดับสากลโลก ตลอดจนผลักดัน กีฬาไทย อาทิ “มวยไทย” ให้กลายเป็น 1 ในกีฬาระดับนานาชาติ เพราะเอกลักษณ์เด่นของกีฬามวยไทย ไม่เพียงแต่เป็นกีฬาสำหรับการต่อสู้ หรือการใช้ความรุนแรง แต่เป็นศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งแสดงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็สามารถมาเรียนรู้กันได้ ซึ่งหากสามารถทำให้ มวยไทย มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนที่ทำได้ปรากฏและเป็นที่ชื่นชอบของชาวโลกรวมทั้งนานาชาติ ก็จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะทำให้ “ความเป็นไทย” ปรากฏสู่สายตาของชาวโลก

4. สุขภาพ Wellness

เราต้องมีการยกระดับ “Wellness ไทย” เพื่อดึงนักท่องเที่ยวสุขภาพเข้ามา และผลักดันให้ผู้ประกอบการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ ด้วยการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ให้ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้ด้วยจุดเด่นต่างๆ เช่น การแพทย์แผนไทยแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย สปาไทย นวดแผนไทย สินค้าสมุนไพรไทยต่างๆ ซึ่งนอกเหนือจากการสร้างรายได้โดยตรง ยังสามารถช่วยส่งเสริมและสร้างมูลค่าให้การเป็นที่กล่าวขานทั่วโลกได้ว่า ไทยคือเมืองแห่งสุขภาพและการบริการสาธารณสุข ซึ่งมีค่าเทียบเท่าทองคำและน้ำมัน และคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันโครงสร้างทางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ “สังคมสูงวัย” (Ageing Society) กลายมาเป็นหนึ่งในโอกาสในอนาคตของไทย ดังนั้นเราจึงต้องมียุทธศาสตร์การผลักดัน เรื่อง Health & Wellness ที่สุดท้ายจะกลายเป็นเทรนด์กระแสหลักของไทยและทั่วมุมโลกที่ต้องการ

5. การท่องเที่ยว Travel & Tourism

ไทยนั้นสามารถมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านบาท ต่อปี ซึ่งหากมีการจัดอันดับการท่องเที่ยวของโลก ประเทศไทยจะถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ อยู่เสมอ ทั้ง เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และภูเก็ต ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงมาก ไทยจึงถือเป็นศูนย์กลางทางด้านการท่องเที่ยวแหล่งสำคัญ ที่เรียกเงินจากนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดในประเทศแถบเดียวกัน หรือจากทั่วมุมโลกซึ่งมันจะทำให้อุตสาหกรรมภาคท่องเที่ยว โรงแรม และการบริการ มีความสำคัญอย่างยิ่ง

6. แฟชั่นและสิ่งทอ Fashion & Textile Industry

ยังมีอะไรท้าทายอีกมากในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งกลับกลายมาเป็นหนึ่งในกระแสหลักของเทรนด์โลก ดังนั้นเราต้องมียุทธศาสตร์สำหรับ “อนาคตอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย” ที่จะเป็นตัวสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ผ่านสไตล์ของเสื้อผ้า ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทย และเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่จะสร้างคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจจำนวนมาก”

สรุป อย่าให้เรื่อง Soft Power กลายเป็นแค่ประเด็นนำมาแขวะ แซะ ของเกรียนคีย์บอร์ด แต่รัฐบาลควรผลักดันเรื่องนี้อย่างมียุทธศาสตร์และมีความต่อเนื่องจริงจัง โดยตระหนักว่า มันไม่ใช่แค่ของเล่นความบันเทิง แต่เป็นเครื่องพิมพ์ธนบัตรของประเทศได้ในระยะยาว

สารส้ม