เพราะประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี พ.ร.บ.มวย หรือกฎหมายมวย
เพราะประเทศไทยเป็นถิ่นกำเนิดและเจ้าของมวยไทย ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งที่บรรพบุรุษท่านมอบไว้ให้กับลูกหลานของแผ่นดิน
แต่กับบุคคลในวงการมวยกลับมีความรู้สึกแปลกแยก และเริ่มไม่แน่ใจว่า “พ.ร.บ.มวย 2542” ตราขึ้นเพื่อส่งเสริม สนับสนุน หรือสกัดกั้น ทำหมัน “มวยไทย” กันแน่!
พ.ร.บ.มวย 2542 นอกจากกำหนดให้มีคณะกรรมการกีฬามวย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธานคณะกรรมการแล้ว
ยังให้มีการจัดตั้งกองทุนมวยซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียน บรรดารายได้จากค่าใบอนุญาต หรือการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้นำส่งเข้าสมทบเข้ากองทุน โดยรัฐบาลจัดงบประมาณไว้ให้เบื้องต้นประมาณ 25 ล้านบาทนั้น
ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในการบริหารและค่าจ้างลูกจ้าง ซึ่งแรกๆ มีกันไม่ถึง 10 คนจนทุกวันนี้นับร้อย แถมพ่วงอีลุ่ยฉุยแฉกด้านการสนับสนุนส่งเสริมกีฬามวยเป็นสำคัญ
บรรดานักมวย หัวหน้าคณะ เทรนเนอร์ผู้ฝึกสอน หรือแม้แต่กรรมการและโปรโมเตอร์คนจัดมวยที่จดทะเบียนรับอนุญาต
นอกจากเงินช่วยสงเคราะห์เยียวยาในสถานการณ์ระบาดของโควิตรอบแรกที่ผ่านไป
ทั้งหลายไม่เคยมีใครได้รับการสงเคราะห์ช่วยเหลือ หรือสนับสนุนส่งเสริม จากกองทุนมวยแต่ประการใด
แต่กระนั้นบรรดานักมวยหัวหน้าคณะทั่วประเทศกำลังจะมีข่าวดี
ข่าวน่ะมีมานานแล้ว
ปีก่อนเพียงแค่ 6 – 7 ล้านบาท จิ๊บ..จิ๊บ…เป็นออเดิร์ฟ
มาปีนี้….แรงงงส์ 75 + 7 ล้าน เมื่อรวมกันแล้วจะเป็น 82 ล้าน
ท่านจะกรุณาแจกอุปกรณ์มวยให้กับบรรดาค่ายมวยจดทะเบียนทั่วประเทศ ซึ่งว่ากันว่าใครเป็นกรรมการตรวจรับคงหนักใจไม่น้อย บรรดากระสอบทราย นวม เป้า ในส่วนที่ระบุให้เป็นหนังแท้จะไม่ค่อยแท้…5555
อย่างไรก็ดี ใช่ว่ากองทุนมวยจะห่วยรับประทานไปซะทุกเรื่อง
บรรดานักมวยเก่าที่แขวนนวมเลิกชกไปแล้ว ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้ หรือชราภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง
กองทุนมวยก็มีเงินช่วยรายเดือนมอบให้ประจำเป็นรายเดือน เมื่อผ่านเงื่อนไขการตรวจสอบคุณสมบัติเรียบร้อยแล้ว
ส่วนจะได้กันเดือนละ 3,000, 4,000 หรือ 5,000 บาท สุดแท้แต่เงื่อนไขของแต่ละรายที่ไม่เหมือนกัน
จะช่วยมาก ช่วยน้อย ก็ถือว่าได้ช่วยกัน เพราะบรรดานักมวยเก่าเหล่านี้คือผู้ที่สืบสานตำนานมวยไทย และสร้างชื่อเสียงให้กับมวยไทยมาบนสังเวียนแล้วอย่างโชกโชนด้วยกันทุกคน
จึงสมควรที่ได้รับการดูแลไม่น้อย
เงินช่วยนักมวยเก่าแม้จะมีสะดุดบ้างก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ที่ไม่ปกติหรือธรรมดา น่าจะมาหลังจากที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ซึ่ง ‘นายกฯ ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านใช้อำนาจตาม ม.44 พ่วงด้วยการให้โอนกองทุนมวยไปขึ้นกับกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ
คราวนี้บรรดาเงินช่วยสงเคราะห์นักมวยเก่า ซึ่งแต่ละท่านที่ได้รับก็มิสู้พอยาไส้อยู่แล้วนั้น
ยังมาจ๊ะเอ๋เข้ากับกระบวนการที่เพิ่มขึ้นจนยืดเยื้อ
“บังมาด” สามารถ มะลุลีม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คนดัง ปัจจุบันท่านสวมหมวกนายกสมาคมมวยไทยนานาชาติ และที่ปรึกษาท่านประธานฯ ชวน หลีกภัย ได้รับการร้องเรียนจากบรรดาพี่ๆ ลุงๆ นักมวยเก่าจนควันออกหู
“บังมาด” ลงทุนทำหนังสือชงเรื่องถึงท่านประธานชวน เพื่อขอผลักดันในการโอนกองทุนมวยออกจากกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ซึ่งมี “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ให้กลับมาที่ตั้งเดิม
เพราะรำคาญกับลีลาและท่วงท่าที่ล่าช้าจนอดีตนักมวยเก่าบางคน “ม่องเท่ง” ไปแล้วยังไม่ได้รับเงินก็มี
งานนี้จึงทั้งโหด ทั้งหิน เพราะกองทุนพัฒนากีฬาที่ฮุบกองทุนมวยไป “หมอตำแยตู่” ท่านทำคลอดด้วยอำนาจตาม ม.44
เท่าที่เห็นตอนนี้ก็จะมีเพียงแค่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธานกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ คนเดียวเท่านั้น
ที่จะคอยลงแส้…ช่วยนักมวยเก่าได้ครับ !!!
– บี บางปะกง –