ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – สั่นสะเทือนไปทั้งทำเนียบรัฐบาล
ที่จู่ๆ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ตามปกติท่องคาถาแค่ “ไม่รู้ๆ” ยามตอบคำถามสื่อมวลชน แต่วันก่อนสัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 ดันหล่นคำตอบแบบมี “สร้อย” เติมเข้าไป
กับคำถามที่ว่าหาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดเงื่อนไขวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี แล้ว “พี่ป้อม” ดันลั่นไปว่า “ก็ไม่รู้ อาจจะมีคนสำรองมั้ง ไม่รู้”
คีย์เวิร์ดที่ว่า “นายกฯ สำรอง” ก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมาว่ามี “นัย” อะไรหรือเปล่า
งานนี้ทำเอาผู้เกี่ยวข้องทั้งวงใน-วงนอก ต้องออกมาแก้ต่างกันจ้าละหวั่น
ทั้งตัวต้นเรื่อง “ประวิตร” ต้องออกมา “แก้ข่าว” ด้วยท่าทีเกี้ยวกราดว่า “ไม่มีนายกฯ สำรอง มีที่ไหน ฉันบอกยังไม่รู้ๆ ยังไม่ถึงเวลา โอ้ย ไม่เข้าใจเลย”
พอรุกไล่ถามย้ำก็ตอบเสียงดังว่า “มีที่ไหน ใครล่ะ เป็นนายกฯ สำรอง พูดไปเรื่อย”
เช่นเดียวกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ – สมศักดิ์ เทพสุทิน – สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ต่างประสานเสียงว่า ไม่เคยได้ยิน และยังไม่ถึงเวลา
ส่วนตัว “นายกฯ ตู่” ที่ดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์ ตอบเพียงสั้นๆ ด้วยสีหน้านิ่งว่า “ท่านไม่ได้พูดแบบนั้น” ขณะที่ “เสี่ยแด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มาย้ำอีกครั้งว่า นายกฯ ตอบว่า “ถามหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผมไม่เคยได้ยิน”
คำตอบของ “บิ๊กตู่” และ “โฆษกแด๊ก” สะท้อนว่า เรื่องนี้กลายเป็น “เรื่องใหญ่” ถึงขั้นที่ “น้องตู่” ต้องออกปากไถ่ถาม “พี่ป้อม” มาแล้ว
สิ่งที่ยืนยันได้คือเรื่องนายกฯ สำรอง “บิ๊กป้อม” พูดเองจริงๆ ส่วน “คิดจริง” หรือไม่ คงมีแต่เจ้าตัวที่รู้
และหาก “ลุงป้อม” จะนึกคึกอยากขึ้นชั้น “เบอร์ 1” จริง ก็คงไม่ผิดที่จะคิด เพราะถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญของ “อำนาจ 3 ป.” มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่เมื่อครั้งยึดอำนาจ พฤษภาคม 2557 ดูจะยังไม่ใช่เวลา ในฐานะที่เป็นเพียง “นายพลนอกราชการ” เช่นเดียวกับเลือกตั้งปี 2562 ที่วันนั้นกระแสความนิยมในตัว “ลุงตู่” ยังมาดีอยู่
จนมาวันนี้วันที่ “น้องตู่” ครองอำนาจมากว่า 8 ปี ก็เป็น “พี่ป้อม” ที่ออกแรงประคับประคองรัฐบาลมา เก็บกวาดปัญหาให้มาตลอด แทนที่จะให้ค่าความสำคัญมากขึ้น กลับถูกลิดรอนอำนาจจนแทบหมดมือ
จากที่ใหญ่โตคับประเทศคุมทหาร-ตำรวจ จู่ๆ ต้องมานั่งนั่งทำสงครามกับผักตบชวา
วงจรอำนาจก็คงไม่ต่างจากรายการเรียลลิตี้ประกวดร้องเพลงของบรรดา “นักล่าฝัน” ที่ “บิ๊กตู่” เป็นแชมป์มาตลอด 2 ซีซั่น จนกำลังจะเข้าซีซั่น 3 แต่เสียงโหวตจากทางบ้านหดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้ประกวดคนอื่นก็พร้อมที่จะเสนอตัวบ้าง
ตามประสาอยู่ด้วยกันมานาน ใครนึกคิดอะไรใน “พี่น้อง 3 ป.” คงเดากันได้ เป็นที่มาของความสัมพันธ์แบบฉาบเคลือบ “ความหวาดระแวง” ระหว่าง “พี่ป้อม-น้องตู่” หมายรวมไปถึง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วย
ตามข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่า วงกินข้าว 3 ป.ที่เคยนัดพูดคุยเล่นหัวกัน ไม่พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนเคยแล้ว หลัง “น้องรอง-น้องเล็ก” เริ่มมีคำถามในใจต่อการเคลื่อนไหวของ “พี่ใหญ่” แทบทุกจังหวะ
ทั้งกระแสข่าวที่ “บริวารหลวงพ่อป้อม” พยายามเสี้ยมแซะเก้าอี้ “มท.1” ของ “บิ๊กป๊อก” ไม่หยุด หรือการปูพรมติดป้ายอวยพรของ “พี่ป้อม” เมื่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ที่เหมือนเป็นการข้ามหน้า “นายกฯ ตู่”
ซุบซิบกันแซ่ดว่า “พี่ใหญ่” คิดไกลถึงขั้นแต่งตัวเป็น “นายกฯ ฉุกเฉิน” หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับ “น้องตู่” ในช่วงปลายเทอมรัฐบาลนี้
ยิ่งช่วงหยุดยาวสงกรานต์ดันมีข่าวอีกว่า “ลุงป้อม” ถือโอกาสบินไปพักผ่อนแถบทวีปยุโรป ลิสต์รายชื่อปลายทางแวะไปเช็กอินมีทั้งออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ
โดยเฉพาะที่ “เมืองผู้ดี” ประเทศอังกฤษ ที่เป็นอีกฐานบัญชาการของ “พี่น้องชินวัตร” ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงถูกจับตามองว่า “ซูเปอร์ดีล” นัดหมายพิเศษระหว่าง “บิ๊กสองขั้วอำนาจ” หรือไม่
แม้ภายหลังทั้ง “บิ๊กป้อม” และ “เฮียโทนี่-ทักษิณ” ต่างก็ปฏิเสธว่าไม่ได้พบกัน และไม่ได้ปะหน้ากันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว
จะมีก็แต่ “เฮียใช้” นิโรธ สุนทรเลขา ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่มาพูดทีเล่นทีจริงว่า “หัวหน้าป้อม” ไปพบ “ทักษิณ” มา ฝ่ายหลังยังฝากความคิดถึงมาถึงตัวเองด้วย ก่อนจะมาแก้ข่าวภายหลัง
โดยในช่วงเดียวกัน พอจะยืนยันได้ว่า “ทักษิณ” อยู่ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากภาพ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่ขนแกนนำพรรคบางส่วนไปรดน้ำดำหัว “นายใหญ่-นายปู”
ก่อนที่ “ทักษิณ” จะมาย้ำอีกทีผ่านไลฟ์สดในรายการ CARE แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ว่า “เสียดายที่ดูไบยังไม่มีเทคโนโลยีโฮโลแกรมนะ ไม่งั้นผมจะส่งโฮโลแกรมจากดูไบไปคุยที่ลอนดอน เพราะเขาอยู่ลอนดอนไง ผมอยู่ดูไบ เลยไม่ได้คุยกัน”
ฟังผิวเผินอาจเหมือนเคลียร์คัทว่า ไม่ได้เจอกัน แต่หากคิดลึกๆ ตีความ “ทางการเมือง” ก็สามารถถอดรหัสได้ว่า แม้ไม่ได้เจอะหน้ากันตัวเป็นๆ ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน อยู่ที่ไหนก็พูดคุยกันได้เช่นกัน
แล้วจริงๆ ประเด็นอาจไม่ได้อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่อาจจะต้องส่องไปที่ “เมืองน้ำหอม” สวิสเซอร์แลนด์ ที่เคยเป็นปลายทางที่ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย เคยไปพักผ่อนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ครั้งนั้นก็มีข่าวในทำนองเดียวกันว่า “ธรรมนัส” ถือโอกาสนัด “นายห้างดูไบ” จิบกาแฟแลเทือกเขาแอลป์กันมาแล้ว
ยิ่งทริปทัวร์ยุโรปเที่ยวนี้ “บิ๊กป้อม” อยู่ยาวกว่า 1 สัปดาห์ ถึงขั้นลาประชุม ครม.หนึ่งนัดด้วย ก็ยิ่งน่าคิดไม่น้อยว่า มี “หมายลับ” แวะไปเจอใคร หรือใครมาพบบ้างหรือเปล่า
พอนักข่าวไปถาม “นายกฯตู่” ก็ทำเอาหงุดหงิด ตอบกลับตามสไตล์ว่า “ถามแปลกๆ บ้าหรือเปล่า ไม่สร้างสรรค์” พร้อมยังระบุว่า “ประวิตร” ไปทำงาน ไม่ได้ไปพักผ่อน
โดยมีการปล่อยข้อมูลมาในภายหลังว่า “รองฯ ประวิตร” เดินทางไปฝรั่งเศส และสวิสเซอร์แลนด์ ในฐานะกำกับดูแลงานด้านกีฬา และเป็นประธานคณะกรรมการโอลิมปิกไทยฯ เพื่อไปล็อบบี้ผลักดัน “มวยไทย” บรรจุในกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ
ทว่า นานๆ ครั้ง “บิ๊กป้อม” จะมีหมายงานระดับนานาชาติ แต่กลับไม่มีการปล่อยภาพข่าว หรือข่าวประชาสัมพันธ์ภารกิจครั้งนี้ออกมา จนน้ำหนักที่ว่าไปทำงานนั้นเบาหวิว
ส่วนตัว “บิ๊กป้อม” ก็ยกข้ออ้างตามประสาผู้สูงวัยว่า ไปพบแพทย์เท่านั้น ไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่ได้พูดถึงการไปทำงานแต่อย่างใด
ความวัวยังไม่หาย กลับจากพักผ่อนที่ต่างประเทศมา “บิ๊กป้อม” ก็ยังเพิ่มดีกรีความหวาดระแวงให้กับ “น้องรักนอกไส้” อีก โดยการเปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ฐานบัญชาการของตัวเอง ให้คณะพรรคเศรษฐกิจไทย นำโดย “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรค และ “ธรรมนัส” เลขาธิการพรรค นำ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย เข้ารดน้ำอวยพร “นายป้อม” เนื่องในเทศกาลสงกรานต์
แง่หนึ่งมองได้ว่า เป็นการประกาศตัวสนับสนุนรัฐบาล อย่างที่ “บิ๊กป้อม” พยายามย้ำมาโดยตลอด แต่อีกแง่ก็เป็นการโชว์ภาพว่า ยังคบหากับ “ก๊วนกบฏ” ที่ถูก “บิ๊กตู่” ขึ้น “บัญชีดำ”
สำทับกับข่าวคราวก่อนหน้านี้ว่า “ผู้กองมนัส” รวมถึง “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ กลับเข้าไปประจำการเคียงข้าง “นายป้อม” ในฐานบัญชาการ “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” อีกครั้งแล้ว
โดยที่ “ธรรมนัส” ทำหน้าที่กุนซือทางการเมือง แล้วให้ “นฤมล” ประกบ “นาย” จัดแจงคิวเข้าพบ
เป็นสภาพที่เชื่อว่าทั้ง “น้องตู่” รวมถึง “น้องป๊อก” ที่ถูก “ก๊วนผู้กอง” แซะเก้าอี้ รมว.มหาดไทย อย่างหนัก คงไม่เห็นดีด้วยแน่
ตัดภาพไปที่พรรคพลังประชารัฐเองก็มีความเคลื่อนไหวแปร่งๆพอสมควร กับการทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เป็นว่าเล่น โดยสัปดาห์ก่อนก็มีการเปิดตัว 10 คน จาก 8 จังหวัด ทั้งภาคกลางและตะวันออก ที่ฮือฮาคงเป็นรายของ “หยอง ลูกหยี” หฤษพล สมจิตรนา ที่ถูกวางตัวให้ลงสมัครที่บ้านเกิด เขต 4 จ.ลพบุรี
มาสัปดาห์นี้เปิดตัวอีก 22 คน ในพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีไฮไลท์ที่ “สมรักษ์ คำสิงห์” วีรบุรุษเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นโอลิมปิก เจ้าของสมญา “ไม่ได้โม้” ที่จะลงสมัคร ส.ส. ที่เขต 10 จ.ขอนแก่น
มองได้ว่า เป็นการแสดงความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า และ “ลุงป้อม” ยังไม่ทิ้ง “ค่ายพลังประชารัฐ” ยังขับเคลื่อนเป็น “พรรคหลัก” ต่อไป
แต่หากมองเจือความหวาดระแวงแล้ว คงต้องบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา อีกทั้งยังมีคำถามว่า จริงจัง-จริงใจขนาดไหนในการคัดผู้สมัคร ส.ส.ที่เอามาเปิดตัว เป็นระดับ “โนเนม” ยากที่จะได้เป็นผู้แทนฯ
ทั้งตัว “สมรักษ์” เองก็ไม่ได้เป็นครั้งแรกกับการลงการเมือง เพราะเคยลงสมัคร ส.ส.ที่เขต 10 จ.ขอนแก่น ในนามพรรคชาติพัฒนา มาแล้วเมื่อการเลือกตั้ง 2554 ปรากฏว่า ได้คะแนนมาเพียง 1,981 คะแนนเท่านั้น ขณะที่ผู้ชนะได้ไปมากกว่า 5 หมื่นคะแนน
ไม่ต่างจาก “หยอง ลูกหยี” ที่เคยสมัคร ส.ส.เขต 4 จ.ลพบุรี ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อการเลือกตั้ง 2562 มาเช่นกัน ปรากฎว่าได้มา 5,819 คะแนน ขณะที่ผู้ชนะได้ไปมากกว่า 3 หมื่นคะแนน หรือผู้สมัครเดิมของพรรคพลังประชารัฐเมื่อการเลือกตั้ง 2562 ก็มีดีกรีเป็น “อดีต ส.จ.” ได้มาถึง 25,342 คะแนน เข้าป้ายเป็นอันดับ 2
เป็น 2 ตัวอย่างที่แม้มีชื่อเป็นที่รู้จัก แต่ดูโหงวเฮ้งแล้วโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะได้ที่นั่ง ส.ส.เขต จะอ้างว่า พึ่งกระแสพรรค กระแส “ลุงตู่” พาเข้าสภาฯ นาทีนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นอย่างไร
คนนอกดูรู้ มีหรือคนในที่เป็นระดับ “เซียนการเมือง” จะดูไม่รู้ว่า คนไหนมีโอกาสหรือไม่มีแววจะเข้าสภาฯ
อดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อผู้สมัครคุณภาพยังไม่ผ่านเกณฑ์ เหตุใดถึงต้องตะพืดตะพือรีบร้อนเปิดตัว ทั้งที่ก็พูดกันเองว่า รัฐบาลอยู่ครบเทอม ยังไม่มีเลือกตั้งเร็วๆ นี้
ขนาดฝ่ายค้านที่นั่งแช่งวันละ 3 เวลา ยังไม่เห็นรีบร้อนขยับเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. เพราะมองว่า ยังไม่ถึงเวลา
หรือว่า “บิ๊กพลังประชารัฐ” ล่วงรู้สัญญาณ “อุบัติเหตุ” อะไรที่ทำให้รัฐบาลอาจมีอันเป็นไปก่อนครบวาระหรือไม่
น้ำหนักเทไปที่ปม “นายกฯ 8 ปี” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 4 ที่ระบุนายกรัฐมนตรีมีวาระดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี ไม่ว่าจะเป็นติดต่อกัน หรือเว้นช่วง
ถ้านับวาระของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่เถลิงเก้าอี้นายกฯมาตั้งแต่ 24 ส.ค.2557 ก็จะครบ 8 ปีในวันที่ 24 ส.ค.65 ที่จะถึงนี้ อันเป็นประเด็นที่จะถูกยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างแน่นอน
ประจวบกับคิว “ศึกซักฟอก” การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ หลังเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.65 เป็นต้นไป แต่เดิมฝ่ายค้านทำทีจะงัดขึ้นมาเล่นช่วง “หัวรุ่ง” ตั้งแต่เปิดสมัยประชุมสภาฯ ที่รัฐบาลกำลังเมาหมัดกับหลากปัญหา
แต่หลังๆ กลับ “ปรับแผน” จะไปยื่นในช่วงครึ่งหลังของสมัยประชุม หรือเดือน ก.ค.-ส.ค.65 ที่คาบเกี่บวกับวาระ 8 ปีนายกฯ พอดี
การปรับแผนของฝ่ายค้านเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวว่ามี “ซูเปอร์ดีล” ระหว่าง “บิ๊กสองขั้วอำนาจ”
ที่ระบุว่ามีการต่อรองให้รัฐบาลพลังประชารัฐไปต่อจนครบเทอม โดยอาจเปลี่ยน “หัว” ที่ไม่ใช่ “พล.อ.ประยุทธ์” ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือวาระ 8 ปี
เพื่อปูทางหลังเลือกตั้งครั้งหน้าปล่อยโปรฯ “คนละครึ่ง” ผสมพันธุ์เป็น “รัฐบาลปรองดอง” สูตรพิสดาร “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ”
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีคำถามเรื่องนี้ไปถึง “บิ๊กป้อม” เจ้าตัวตอบแบบน่าคิดว่า “เอาให้เลือกตั้งให้เสร็จก่อนดีกว่า”
ไม่ได้ปิดประตูตายสำหรับการร่วมงานกันของ 2 พรรคต่างขั้วอำนาจ
ขณะที่ฝ่าย “นายห้างดูไบ” เองที่ทิ้งไพ่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดเลิฟ ออกมาเตรียมคั่วเก้าอี้นายกฯ ก็รู้ดีว่า ถึง “แลนด์สไลด์” ถล่มทลายแค่ไหน ก็ทำงานลำบาก หากไร้ “โซ่ข้อกลาง” เชื่อม “ฝ่ายอำนาจ”
อย่างน้อยๆ “พรรค ส.ว.” ก็ยังเป็นปราการด่านสำคัญไปถึงปี 2567 นู่น
จนมีข่าวกระเซ็นกระสายว่า ในกติกาเลือกตั้งที่แน่นอนแล้วต้องยึดบัตร 2 ใบ “ฝ่ายทักษิณ” อาจยอมถอนครึ่งก้าวให้ใช้สูตร “หาร 500” เพื่อให้ “ขั้วประวิตร-พรรคเล็ก” ได้หายใจหายคอ
แทนที่จะเป็น “หาร 100” ที่พรรคเพื่อไทยได้เปรียบที่สุด
ตามดีลพิสดารที่ “พล.อ.ประยุทธ์” น่าจะรู้ตัวว่า ไม่ได้อยู่ใน “สมการ” ก็เลยแก้เกมด้วยการสวมบท “ตู่ ตลาดแตก” จัดคิวลงพื้นที่ยุทธศาสตร์ เพื่อโชว์ให้เห็นว่า “ติ่งลุงตู่” ยังเหนียวแน่น
หลังชิมลางบางตลาดใน กทม.แต่ยังเปรี้ยงเท่าที่ควร จู่ๆ ก็แทรกโปรแกรมลงพื้นที่ไปเรียกเสียงกรี๊ด-เสียงเชียร์ จากชาวสงขลา-พัทลุง เมื่อ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา
พิสูจน์ให้เห็นว่าคะแนนนิยมของ “บิ๊กตู่” ในพื้นที่ภาคใต้ยังดีอยู่ แม้พรรคพลังประชารัฐจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมสงขลา-ชุมพร เมื่อช่วงต้นปี แต่ก็เป็นเพราะวันนั้น “ธรรมนัส” ที่เป็นเลขาฯ พรรคอยู่ เลี่ยงที่จะชู “นายกฯตู่ ” ในการหาเสียง แล้วแบกเอา “ลุงป้อม” ลงไปหาเสียงด้วยตัวเอง
ต่างจาก “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่ชนะเลือกตั้งซ่อมทั้ง 2 สนามที่จับกระแสโหน “ลุงตู่” สุดตัว จนพลิกกลับมาชนะอย่างขาดลอย ทั้งที่โพลยังตามหลังในช่วงโค้งสุดท้ายอยู่เลย
หลังทัวร์ปุ๊บปั๊บที่สงขลา-พัทลุง จบลง “นายกฯ ตู่” สั่งการให้จัดคิวต่อไปทันที
เพื่อแสดงพลังให้ “พี่ป้อม” เห็นว่า หากจะต่อท่ออำนาจไปอีกตามแผนเดิม ยังคงต้องใช้ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นตัวชูโรง เฉกเช่นที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับแคมเปญ “รักสงบจบที่ลุงตู่” นั่นเอง
ด้านฝ่ายค้านเองก็สัมผัสได้ถึงความระหองระแหงภายใน “พี่น้อง 3 ป.” ก็เลยมีรายการเสี้ยมบ่อยครั้ง ทั้ง “นายใหญ่” ที่ช่วงหลังพูดถี่ยิบ ทั้ง “คลิปหลุดแรมโบ้” ที่ฟันธงว่ามาจากความไม่ลงรอยกันภายใน “พี่น้อง 3 ป.”
และยังพยากรณ์อีกว่า หลังเปิดสมัยประชุมรัฐสภา “น้องตู่-พี่ป้อม” ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอีก ผ่าน “บริวาร” ทั้งสองฝ่ายที่ยื้อยุดฉุดอำนาจกันเอง
อีกด้าน ลิ่วล้อพรรคเพื่อไทยก็โหมกระแสเป็นรายวันว่า ช่วงเปิดสมัยประชุมฯ จะมี 30 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล พลิกขั้วร่วมล้ม “พล.อ.ประยุทธ์” ผ่านการพิจารณาร่างงบประมาณปี 2566 รวมทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
จำนวน 30 ส.ส.บังเอิญไปสูสีกับจำนวน ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย และขุมข่ายพรรคเล็ก ภายใต้คอนโทรลของ “ผู้กองธรรมนัส” ที่ไม่เคยการันตีว่า จะลงมติให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ขอฟังการอภิปรายก่อนตัดสินใจ
เป็นความเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายป่ารอยต่อ” ที่เล่นคีย์เดียวกับ “เครือข่ายดูไบ” ราวกับเตี้ยมกันมา
รูปการณ์นี้จะมองว่า “พี่ป้อม” คิดนอกใจ มองข้ามชอตไปถึง “นายกฯ สำรอง” แล้วจริงๆ ก็คงไม่ผิด
แบบนี้เขาเรียกว่า ภารกิจของ “นักล่าฝัน” ที่จะก้าวสู่ตำแหน่ง “นายกฯ ตัวจริง” ไม่ใช่ “นายกฯ สำรอง” ยังคงดังทุ้มอยู่ในใจ “พี่ป้อม” เสมอ.
ระเบิดความมันของสุดย…
สนามมวยลุมพินี ประกา…
This website uses cookies.