ในโลกกีฬา ขณะนี้ ซาอุดีอาระเบีย กำลังพยายามพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวบนๆ ให้ได้ และด้วย “วิสัยทัศน์ 2030” ของเจ้าชายบิน ซัลมาน ที่ต้องการพลิกโฉมซาอุดีอาระเบีย พัฒนาเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
การพัฒนาทางด้านกีฬา เป็นหนึ่งในหมุดหมายของวิสัยทัศน์ระยะยาวครั้งนี้ โดยเป้าหมายสูงสุดคือ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติอย่างกีฬาโอลิมปิก
บรรดาหญิงสาวชาวซาอุฯ กำลังฝึกซ้อมฟุตบอลกันอย่างเอาจริงเอาจัง เสียงโค้ชชาวเยอรมัน ตะโกนกำกับเป็นระยะทักษะการรับส่งบอลของพวกเธอจัดได้ว่าคล่องแคล่วอย่างยิ่ง
ทีมฟุตบอลหญิงซาอุดีอาระเบียที่ชื่อ “Jeddah Eagles” หรือ “ อินทรีย์แห่งเจดดาห์”พวกเธอกำลังฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อเข้าแข่งขันระดับอาชีพ
ผลฟุตบอลโลก อาร์เจนตินา พลิกล็อกแพ้ ซาอุดีอาระเบีย 1-2
แมตช์อัศจรรย์! ส่อง 5 เกมสุดพลิกล็อกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก
หลังจากซาอุดีอาระเบียมีการตั้งลีกฟุตบอลสำหรับผู้หญิงเป็นครั้งแรก และเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา
ส่วนนี่คือทีมฟุตบอลหญิงอีกทีมหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Eastern Flame หรือทีมเปลวเพลิงแห่งตะวันออกพวกเธอกำลังซ้อมหนักเช่นกัน เพื่อหวังเข้าไปอยู่บนอันดับต้นๆของลีกให้ได้
ในวันก่อตั้งลีกฟุตบอลหญิง สหพันธ์การกีฬาซาอุดีอาระเบีย ออกแถลงการณ์ว่า เพื่อกระตุ้นให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกีฬา ในระดับชุมชน และจะทำให้สังคมยอมรับความสำเร็จในด้านกีฬาของผู้หญิงมากขึ้น
นี่ถือเป็นภาพที่ทั้งแปลกตาและก้าวล้ำสำหรับชาวซาอุฯ ดินแดนที่ผู้หญิงเคยถูกบีบบังคับและกดดันให้ซ่อนอยู่แต่ภายในผ้าคลุม ภายในบ้านและต้องอยู่ในอาณัติของผู้ชาย
ระบอบปกครองของที่นี่ อาศัยระบบฉันทานุมัติระหว่างสมาชิกราชวงศ์ องค์กรทางศาสนาและผู้นำทางเศรษฐกิจ
ในเรื่องศีลธรรมของสังคม องค์กรที่ผูกขาดและกำหนดความเป็นไปต่างๆ คือองค์กรศาสนา และสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นได้จากความเข้มงวดและการจำกัดสิทธิบางอย่างของผู้คน โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ผ่านมา
เมื่อไม่นานมานี้ ซาอุดีอาระเบียเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขับรถ และทำใบขับขี่
แต่โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้ความเคร่งครัดจำกัดกรอบนี้เริ่มคลายตัว ผู้หญิงซาอุฯ สามารถขับรถได้ ทำกิจกรรมนอกบ้านได้ โรงภาพยนตร์และสถานที่จัดคอนเสิร์ตกลับมาเปิดใหม่ รวมถึงสนามฟุตบอลสำหรับผู้หญิง
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า วิสัยทัศน์ 2030 หรือ Vision 2030
Vision 2030 คือความพยายามเปลี่ยนผ่าน ปฎิรูปสังคมซาอุดีอาระเบียให้ทันสมัย พัฒนาเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
เจ้าของวิสัยทัศน์นี้ คือ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน องค์มกุฏราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย ที่สื่อตะวันตกนิยมเรียกพระนามย่อว่า MBS
MBS เป็นพระโอรสพระองค์โตของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน กษัตริย์แห่งซาอุฯ เข้าสู่การเมืองตั้งแต่อายุ 24 พรรษา และขึ้นมามีอำนาจอย่างรวดเร็ว จากการเป็นที่ปรึกษาให้กับพระบิดา มาถึงการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปีที่ผ่านมา
การขึ้นมามีอำนาจของเจ้าชายเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ซาอุดิอาระเบียเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่เมื่อสิ่งสิ่งที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศมายาวนานอย่างน้ำมันดิบมีราคาตกต่ำ ทำให้งบดุลของรัฐเริ่มมีปัญหา
เจ้าชายบิน ซัลมานเริ่มต้นแผนปฎิรูปประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ที่ในที่สุดจะส่งผลต่อความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต มีการเปิดกว้างเชิญชวนให้ต่างชาติมาลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อลดการพึ่งพาเงินจากน้ำมัน
มีการทุ่มเงินลงทุนกว่า 5 แสนล้านเหรียญหรือ 17 ล้านล้านบาทเริ่มสร้างเมืองแห่งอนาคตที่ชื่อ Neom (นิอุม) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจากธุรกิจแนวใหม่ไม่ว่าจะเป็นบันเทิง เทคโนโลยีและพลังงานทดแทน รวมถึงการสร้างสนามกีฬาใหม่ และการพัฒนานักกีฬา
เมื่อปี 2017 ผู้หญิงในซาอุฯ ได้รับอนุญาตให้เข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนามกีฬาใหญ่หลายแห่งซึ่งแต่ก่อนเป็นที่ทางเฉพาะของผู้ชาย ก่อนที่เมื่อปีที่ผ่านมา จะมีการจัดลีกฟุตบอลสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกเรียกว่าการปฏิรูปนี้ถูกตั้งคำถาม หลังจากเจ้าชาย MBS ใช้วิธีที่ถูกมองว่าแข็งกร้าว ในการจัดการกับผู้เห็นต่าง
โดยเหตุการณ์ที่เป็นรอยด่างมากที่สุดคือ ข้อกล่าวหาว่าพระองค์อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของนักข่าวชื่อดังชาวซาอุฯ จามาล คาช็อกกี้ ที่ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดในสถานกงสุลซาอุดิอารเบียในนครอิสตันบูลของตุรกีเมื่อปี 2018
คาช๊อคกี้ คือหนึ่งในคนที่วิพากษ์วิจารณ์แผนการปฏิรูปของเจ้าชายว่าทันสมัยแต่ไม่เป็นประชาธิปไตย
แต่ประเด็นและสาเหตุของการเสียชีวิตของจามาลก็กำลังจางหายไปในวันที่บริบทการเมืองโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สงครามในยูเครนทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนพลังงาน ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อและความยากลำบากจากค่าครองชีพในหลายประเทศทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง
จากที่เคยวิพากษ์วิจารณ์เจ้าชาย MBS ในเรื่องคดีสังหารจามาล คาชอคกี้ ผู้นำสหรัฐเดินทางไปที่ซาอุดีอารเบียเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านเพื่อขอร้องให้เจ้าชาย MBS ผลิตน้ำมันเพิ่ม เพื่อกดราคาในตลาดโลกให้ลดลงมา
ซาอุดีอาระเบียผงาดขึ้นมาในฐานะผู้เล่นที่สำคัญของการเมืองระหว่างประเทศ พร้อมๆกับการเดินหน้าอย่างเต็มสูบในการผลักดัน Vision 2030 ต่อโดยเฉพาะในเรื่องกีฬา
อับดุลอาซิส อัล-ไฟซาล รัฐมนตรีกีฬาของซาอุดิอาระเบียให้สัมภาษณ์ว่า การให้ความสำคัญของกีฬา ไม่ใช่เพราะใช้กีฬามาฟอกขาวหรือลบล้างข้อครหาที่ซาอุดีอาระเบียถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่มีเป้าหมายแท้จริง คือ ต้องการที่จะพาซาอุดีอาระเบีย ก้าวไปยืนแถวหน้าในวงการกีฬาโลก
เมื่อมีอำนาจเต็มมือและมีงบประมาณมหาศาล ทำให้ Vision 2030 ในเรื่องกีฬาถูกผลักดันให้ไปต่อได้เรื่อยๆ นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งก่อสร้างด้านกีฬาที่ผุดขึ้นมากมายหลายที่
โค้ชเก่งๆจากทั่วโลกถูกดึงตัว มีการจัดกิจกรรมการกีฬาระดับโลกหลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมวยสากลชิงแชมป์โลก ,มวยปล้ำwwe ,การแข่งขันรถสูตรหนึ่งฟอร์มูล่า 1, กอล์ฟรายการใหม่อย่าง LIV และยังเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพปี 2027
อีกสิ่งที่สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของซาอุดีอาระเบียในการขึ้นมาเป็นแถวหน้าของโลกกีฬาคือ การส่งหนังสือไปยังสภาโอลิมปิกแห่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เสนอตัวและได้รับการคัดเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ฤดูหนาวครั้งที่ 9 ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2029 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า
สิ่งที่ซาอุดิอารเบียใช้เป็นเหตุผลในการโน้มน้าวเพื่อให้ได้เป็นผู้จัดงานคือ การมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับที่ประเทศใดเคยจัดด้วยการสร้างสกีรีสอร์ทที่อยู่กลางทะเลทราย
ซาอุดีอาระเบียกำลังขยับเข้าไปมีส่วนร่วมในมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติมากขึ้นทีละขั้น ก่อนที่จะขึ้นไปยังฝันในขั้นสุดท้าย
นั่นก็คือ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่างกีฬาโอลิมปิก
ไม่พลาดทุกเหตุการณ์ติดตามข่าวจาก PPTV ได้ที่ Subscribe
ระเบิดความมันของสุดย…
สนามมวยลุมพินี ประกา…
This website uses cookies.